วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

น้ำแข็งกับนาฬิกาทราย


น้ำแข็งกับนาฬิกาทราย

............นานมาแล้ว โลกเป็นเพียงวัตถุทรงกลมเรียบๆเปล่าๆ
นอกจากน้ำแข็งก้อนใหญ่กับนาฬิกาทรายเรือนยักษ์ที่มีปลายเปิด
สามารถปล่อยทรายออกได้อย่างเดียว
น้ำแข็งกับนาฬิกาทรายเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็กร่วมทุกข์ร่วมสุข
จนทั้งคู่เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว

ความงดงามของน้ำแข็งทำให้นาฬิกาทรายแอบชื่นชมหลงใหล
แต่ทุกครั้งที่พยายามแสดงความสนิทสนมใกล้ชิด
ความเย็นชาจากน้ำแข็งก็ทำให้นาฬิกาทรายต้องผิดหวังทุกทีไป
วันหนึ่งนาฬิกาทรายทะเลาะกับน้ำแข็งอย่างรุนแรงถึงขั้นแตกหัก
นาฬิกาทรายร้องไห้เสียใจ หนีไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า นาฬิกาทรายกับน้ำแข็งก็ยังไม่คืนดีกัน
ต่างคนต่างอยู่กันคนละซีกโลก
จนมาวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้โลกจะต้องแตกออกเป็นสองส่วน
น้ำแข็งรู้ดีว่าถ้าโลกแตกเป็นสองส่วนแล้วก็คงไม่ได้เจอ
กับนาฬิกาทรายตลอดกาล

แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่ น้ำแข็งจึงเลือกที่จะอยู่นิ่งๆแทนที่จะออกตามหานาฬิกาทราย
ดวงจันทร์โคจรผ่านมา น้ำแข็งจึงถามว่าอีกซีกโลกเป็นอย่างไรบ้าง
ดวงจันทร์บอกว่า เพราะโลกกำลังจะแยกนาฬิกาทราย
จึงปล่อยทรายออกมาปกคลุมรอยแตกของโลก
เพื่อยึดไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน โดยหวังว่าจะได้กลับมาพบน้ำแข็งอีก

ทันทีที่รู้น้ำแข็งก็รีบออกตามหานาฬิกาทราย
สายเกินไป ทรายกำลังจะหมดจากตัวนาฬิกาทรายแล้ว
เมื่อน้ำแข็งมาถึงก็ได้ยินเพียงคำพูดสุดท้ายจากปากนาฬิกาทราย ฉันรักเธอ
ความเย็นชาที่มีอยู่ในตัวน้ำแข็งหมดลงทันที
น้ำแข็งจึงเริ่มละลายในขณะที่ทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงสู่พื้นดิน
กลายเป็นน้ำทะเลที่อ่อนโยนคอยโอบอุ้มผืนทรายที่บริสุทธิ์
อยู่คู่กันมาจนทุกวันนี้ ........บางทีจะบอกรักกะใครสักคนได้ มันอาจสายไปก็ได้นะ

รองเท้ากับความรัก


รองเท้า...กับ...ความรัก

นิยามความรักของคุณคืออะไร
ส่วนของเรา...ความรัก ก็เหมือนกับรองเท้า
รองเท้าแตะส่วนมากขายตามร้านทั่วไป
ดังนั้นเวลาเราไปเห็นก็ไม่เคยจะนึกสนใจ
มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆ ก็ไม่เคยคิดจะซื้อ
แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆ ก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี

รองเท้าบางคู่ใส่ใหม่ๆ อาจรู้สึกสบาย
แต่ถ้าใส่นานๆเข้าอาจจะรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับเรา
อยากจะถอดทิ้งเสียเหลือเกิน
รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไป
หรือ หลวมไปแต่ใครจะรู้ว่า
บางทีพอใส่ไปซักพักหนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา
จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้

รองเท้าบางคู่ ดูภายนอกอาจตลก
แต่รู้มั๊ยว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา
อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป
ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดีก็ไม่แน่เสมอไปว่า
มาอยู่กับเราแล้วจะดีเหมือนอยู่กับคนอื่น

.......เคยเจอมั๊ย...ใครที่มีรองเท้ามากมายเกินความจำเป็น
เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรดตราบเมื่อเค้าได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป
ซึ่งมันก็อาจจะสายไปเสียแล้วที่จะทวงคืน....

แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ
รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นที่ได้ผ่านเท้าของผู้คนมามากมาย
บางคู่อาจยัง ใหม่บางคู่อาจดูโทรม
ส่วนบางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ที่ใส่

แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ
ยากมากจนเรียกว่าแทบจะไม่มีเลยที่จะมีคนมาขอซื้อเป็นเจ้าของ
นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่นซึ่งก็จะไม่มีทางได้สัมผัสกับ ความรัก
ระหว่างเจ้าของกับรองเท้า...เฮ้อ...น่าสงสาร

.......รองเท้าที่เหมาะกับเรา หาไม่ยากและไม่ง่าย
แต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจอยากบอกว่า
ให้รีบตัดสินใจซื้อก่อนที่จะถูกคนอื่นมาชิงตัดหน้าไปก่อน
ซึ่งรองเท้าคู่นั้นอาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้

ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา
ใส่แล้วไม่รู้สึกสบายขอแนะนำว่าอย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย
มีแต่จะทำให้เราทรมานเพราะในที่สุดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไปอยู่ดี..

รองเท้าสมัยใหม่ ดูแล้วกิ๋บเก๋แต่รองเท้าสมัยเก่าใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ
จะสมัยไหนก็ช่าง ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด
แล้วเมื่อเจอแล้วจงใส่มันอย่างถะนุถนอมจะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน
แต่ที่แน่ๆคุณจะไม่มีวันได้รู้หรอกว่ารองเท้าคู่ไหนเหมาะกับคุณที่สุด
จะเมื่อคุณได้ลองใส่มันเท่านั้น

วันนี้คุณได้เจอรองเท้าที่คุณคิดว่าเหมาะกับคุณที่สุดหรือยัง....
พยายามเสาะหาต่อไปเถอะ เราเชื่อว่าซักวัน
คุณจะได้เจอรองเท้าคู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณอย่างแน่นอน......

อย่าเลยนะ...อย่าพยายามเดินเท้าเปล่าเลย
เพราะบนถนนมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเท้าของคุณมากมาย
หารองเท้าซักคู่มาใส่ป้องกันก่อนดีกว่า
แม้ว่าคู่นั้นอาจจะยังไม่ใช่คู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณก็ตาม....

การจะรักใครสักคนเริ่มต้นจาก การรักตัวเอง


การจะรักใครสักคนต้องเริ่มจาก การรักตัวเอง

"คนเราถ้ายังรักตัวเองไม่เป็นแล้วจะไปรักใครได้"
ประโยคที่ได้ยินมานาน และคิดว่าเข้าใจในความหมายนั้น
และฉันก็เชื่อว่าใครๆ ก็คงคิดเหมือนกัน

แต่แล้ววันหนึ่งที่ความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้มาเยือน
ฉันจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฉันไม่ได้รู้จักความหมายของประโยคนั้นเลย
เพราะรัก และอยากให้ใครคนนั้นพึงพอใจ
และหันมามองกันบ้างฉันจึงยอมที่จะทำทุกอย่าง
แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น

วันนั้นฉันเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนในแบบที่เขาชอบ
ฉันเปลี่ยนความชอบของตัวเองทุกอย่างให้เข้ากับเขาได้
ฉันพยายามเรียนรู้ในทุกๆ สิ่งที่เขาชอบ และพูดคุยถึงแต่เรื่องพวกนั้น
ฉันตามใจและให้ทุกอย่างที่เขาต้องการฉันไม่เคยบ่น น้อยใจ
หรือไม่พอใจสักครั้ง ที่เขายกเลิกนัดกระทันหันเพื่อไปกับคนที่เขารัก

ฉันไม่เคยต่อว่าอะไรเขาเลยสักคำที่โดนเขาทิ้งขว้างแต่สุดท้าย
ฉันก็ได้รับเพียงความผิดหวังเมื่อวันหนึ่งต้องพบกับความจริงว่า
เขาไม่เคยมีใจให้ฉันเลยที่ผ่านมาฉันเองก็พอรู้

แต่ที่ไม่เคยรู้ก็คือการที่ฉันยอมทำทุกอย่าง ตามใจทุกสิ่ง
เปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่าง เพื่อให้คนที่ฉันรักนั้นมันกลับทำให้ค่าของฉันลดลง

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉันยิ่งไม่มีค่าในสายตาเขา
สุดท้ายฉันก็เป็นได้เพียงเพื่อนแก้เหงาของเขาเท่านั้นวันนี้
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง สติบอกกับฉันว่า ฉันโง่เง่าอย่างมากที่ทำตัวเช่นนั้น

คนเราจะรักกันก็รักเพราะเป็นเราถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง
นั่นย่อมต้องหมายถึงเปลี่ยนทั้งสองคนเพื่อปรับตัวเข้าหากัน
ไม่ใช่การกระทำที่โง่เขลาอย่างฉันคนที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งชีวิต
โดยที่เขาคนนั้นไม่เคยร้องขอ

สุดท้าย...เมื่อเราทำทุกอย่างเพื่อเขาเอง เราจึงเป็นเพียงของตายเป็นคนไร้ค่า
ไร้ความน่าสนใจ เพราะการกระทำของตัวเอง
วันนี้ ฉันจึงได้เข้าใจความหมายของประโยคนั้นแล้วว่า
การที่เราจะรักใครสักคน ต้องเริ่มจากการรักตัวเอง มันเป็นยังไง
และหวังว่าใครอีกหลายๆ คน
คงเริ่มมองเห็นและเข้าใจในความหมายของมันเหมือนฉันด้วย

เราจะรักกันไปจนกว่า...


เราจะรักกันไปจนกว่า...หินก้อนนั้นจะเหลือก้อนเท่าเม็ดทราย

เรื่องเล่าว่า.... มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน
ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน
ระหว่างทางเกิดโต้เถียงขัดแย้งไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่งพลั้งลงมือตบหน้าอีกฝ่าย
คนถูกทำร้ายเจ็บปวด แต่ไม่เอ่ยวาจา
กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า "วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"

พวกเขายังคงเดินทางต่อจนกระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำชำระกาย
พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ รีบเข้าช่วยชีวิต
คนรอดตายยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลงไปบนหินใหญ่
"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"

อีกคนไม่เข้าใจ...ถามว่า
"เมื่อถูกฉันตบหน้า เธอเขียนลงทราย แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน"

อีกคนยิ้มพรายกล่าวตอบ "เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย เราควรเขียนมันไว้บนทราย
ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย เมื่อสิ่งดีบังเกิดเรา ควรสลักไว้บนก้อนหิน
แห่งความทรงจำในหัวใจ ซึ่งจะไม่มีสายลมแรงใด...ลบล้างทำลายได้"